วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันเสาร์ที่7สิงหาคม พ.ศ.2553

8 วิธีในการดึงพื้นที่ฮาร์ดดิสก์คืนมา


เทคนิคหนึ่งที่นำมาใช้เสมอกรณีที่เริ่ม Setup คอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานเองก็คือ จัดแบ่งพาร์ติชั่นให้เหมาะสม โดยแยกให้เป็นพาร์ติชั่นสำหรับระบบปฏิบัติการ พาร์ติชั่นสำหรับ Application และสำหรับ Cache Drive หรือ Temp Drive และเมื่อใดก็ตามที่เห็นผู้ใช้งานท่านใด บ่นว่าไม่มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูล เราว่าปัญหาแท้จริงนั้นไม่ใช่ว่าพื้นที่ทั้งหมดในฮาร ์ดดิสก์เต็มไปด้วยข้อมูล แต่ปัญหาจริงๆ ก็คือว่า การขาดการจัดการที่ดีมากกว่า แม้แต่ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ก็ต้องการการจัดการ
กรณีนี้กล่าวถึงเฉพาะในพาร์ติชั่นของระบบปฏิบัติการแ ละ Application เท่านั้น ส่วนตัวแล้ว กำหนดให้มีขนาดไม่เกิน 800
เมกะไบต์ เพราะถือว่าการติดตั้งซอฟต์แวร์ Application ในปริมาณที่เกินกว่า 1 เมกะไบต์นั้น เป็นการสิ้นเปลืองและการไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จร ิง รวมไปถึงการจัดการที่ไม่ดีด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พื้นที่ 800 เมกะไบต์ของผมก็ยังเต็มอยู่บ่อย ด้วยเหตุนี้ผมจึงเรียบเรียง กลวิธีง่ายๆในการดูแลพาร์ติชั่นดังกล่าวให้สะอาดและม ีพื้นที่ว่างประมาณ 30 - 50 เมกะไบต์เสมอ ทำไมต้องมีพื้นที่ว่าง เพราะต้องว่างไว้สำหรับข้อมูลแคชของ Netscape , Internet Explorer , ไฟล์ที่มีผู้ส่งให้ทาง E-mail และข้อมูลที่ต้องถูกเก็บโดยอัตโนมัติในพาร์ติชั่นเดี ยวกับ Application ไม่สามารถแยกเก็บต่างหากได้
1. Recycles Bin คือ สถานที่แรกที่ควรพิจารณาจัดการ ปกติถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ขนาดของถังขยะจะมีความจุ 1/10 เท่าของพื้นที่พาร์ติชั่น กรณีของฮาร์ดดิสก์ 1 กิกะไบต์ ก็จะมีถังขยะขนาด 100 เมกะไบต์ หากไม่จัดการให้เหมาะสม ปล่อยให้ถังขยะเต็มอยู่ตลอดเวลา ก็จะเสียพื้นที่ 100 เมกะไบต์ไปโดยเปล่าประโยชน์

2. การจัดการกับข้อมูลใน Disk Cache ของบราวเซอร์ เช่น Netscape , Internet Explorer ข้อดีของการมีข้อมูลเหล่านั้นไว้ก็คือ ประหยัดเวลาในการดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ต และใช้ดูขณะ Offline ได้ แต่ข้อเสียก็คือใช้พื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ ทางที่ดีควร "ล้างแคช" โดยการใช้ฟังก์ชั่น Clear Cache ของบราวเซอร์ที่ใช้งาน กรณีของ Netscape นั้น ไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตอยู่ใน C:\Program File\Netcape\…\cache ส่วนกรณีของ Internet Explorer นั้นอยู่ใน C:\Windows\Teporary Internet File\ พื้นที่ที่ใช้ในการเก็บไฟล์เหล่านั้นเริ่มจากไม่กี่เ มกะไบต์ไปจนหลายสิบเมกะ ไบต์ ซึ่งหากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ได้ใช้งานก็ควรลบออก

3. การจัดการกับไฟล์ที่ส่งแนบมากับจดหมายอิเลคทรอนิคส์ และไฟล์ข้อมูลที่ดาวน์โหลดเข้าเก็บไว้โดยโปรแกรมประเ ภท Offline Web Browser สำหรับไฟล์ที่แนบมากับจดหมายอิเลคทรอนิคส์นั้น อาจต้องการใช้งานระยะเวลาสั้นๆ หลังจากต้องดำเนินการขั้นต่อไปคือ ตัดสินใจว่าจะสำรองข้อมูลไว้ หรือลบทิ้ง หรือนำไปจัดเก็บในพาร์ติชั่นสำหรับข้อมูล ส่วนไฟล์ HTMLและรูปภาพที่ดาวน์โหลดโดย Offline Web Browser ถ้าหากต้องการเก็บไว้อ้างอิงระยะยาว ก็ควรย้ายไปยังพาร์ติชั่นสำหรับข้อมูลเช่นกัน หากไม่ต้องการใช้ก็ลบทิ้ง พื้นที่ว่างที่ได้เพิ่มขึ้นนั้น หลากหลายตามสัดส่วนความรกของไฟล์ สำหรับไฟล์ที่รับจาก e-mail กรณีที่ใช้งาน Eudora พบว่าบางครั้งไฟล์ขนาดใหญ่ และรับครั้งเดียวไม่สำเร็จ และเมื่อรับครั้งต่อไป ไฟล์นั้นจะถูกทิ้งไว้ และสร้างชื่อใหม่ขึ้นอีก ไฟล์ที่ใช้ได้คือไฟล์ที่สมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นจึงควรตรวจสอบและกำจัดไฟล์ขยะทิ้งไป
4. ไฟล์นามสกุล .tmp ใน C:\Windows\temp เป็นไฟล์ชั่วคราว (Temporary File)ที่ถูกสร้างขณะที่ใช้งาน Application ต่างๆ ถ้าหากการใช้งานคอมพิวเตอร์โดยการเปิด-ปิดตามปกติ ไฟล์ชั่วคราวดังกล่าวจะถูกทำลายโดยอัตโนมัติเมื่อใช้ งานเสร็จ แต่ในกรณีที่วินโดวส์หยุดทำงานเพราะแฮงค์ ไฟล์ชั่วคราวดังกล่าวจะเหลืออยู่ และเมื่อเป็นปริมาณมากๆ ขนาดก็ใหญ่ตาม การกำจัดทำได้โดยใช้ยูทิลิตีส์ เช่น Norton Utility
Space Wizard
5. ทิ้งชิ้นส่วนที่ไม่ได้ใช้งานแต่ถูกติดตั้งลงไปเมื่อต ิดตั้งวินโดวส์ สำหรับวินโดวส์ภาษาไทย สิ่งที่ลบออกได้ก็คือ C:\Program File\Online Service จะสังเกตเห็นว่า Online Services ที่ให้มานั้นคือ ของ AT &T , CompuServe, AOL ซึ่งเป็น บริการที่หาไม่ได้ในประเทศไทย แต่ถูกติดตั้งโดยอัตโนมัติ ไม่มีตัวเลือกให้ว่าจะเลือกติดตั้งหรือไม่ติดตั้ง และไม่มีตัว Uninstall ที่มากับ Windows ด้วย การลบทำได้สองวีธีคือ ลบด้วยมือ โดยเข้าไปลบใน Windows Explorer หรือใช้ยูทิลิตีส์ในการ Uninstall เช่น Clean Sweep , Uninstall การทิ้งส่วนนี้ให้พื้นที่ว่างถึง 9 เมกะไบต์
6. Application ที่แถมมากับวินโดวส์ แต่ไม่ได้ใช้งาน กรณีนี้ควรตรวจสอบก่อนลบว่าต้องการใช้อยู่หรือไม่ เช่น Hyper Terminal , Word Pad Thai , Windows Messaging , Paint ,ทำให้พื้นที่ว่างลงอีกหลายเมกะไบต์ได้เช่นกัน การเอาออกทำได้โดยใช้ฟังก์ชัน Add/Remove Program ใน Control Panel
7. ไฟล์สำหรับติดตั้งระบบปฏิบัติการ แต่หลงเหลือไว้ในฮาร์ดดิสก์หลังจากติดตั้งวินโดวส์เส ร็จเรียบร้อย พบในบางกรณี เช่น Notebook ยี่ห้อ Toshiba เมื่อซื้อมานั้น มักจะมาพร้อมกับวินโดวส์ 95 ซึ่งถูกติดตั้งเรียบร้อย แล้ว แต่ไฟล์สำหรับติดตั้งนั้นจะอยู่ใน C:\Windows\Option ซึ่งมีขนาดความจุ 60 - 90 เมกะไบต์ ทั้งนี้ประโยชน์ของการมีไฟล์ดังกล่าวไว้คือ กรณีที่วินโดวส์เสียหาย ก็สามารถติดตั้งจากตัวต้นฉบับที่ถูกคัดลอกไว้ดังกล่า วได้ แต่ก็เสียพื้นที่ในฮาร์ดดิสก์ไป ทางที่ดีควรพิจารณาสำรองไว้ในแผ่นฟล๊อปปี้ หรือหากเป็นการใช้งานคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย (Workgroup) ก็ควรขอพื้นที่ในเซอร์เวอร์ เพื่อฝากไฟล์ดังกล่าว หรือหากไม่สามารถลบทิ้ง ไม่สามารถฝากไฟล์ไว้ที่เครื่องอื่นได้ แนะนำให้ลบไฟล์ชื่อ wowkit.exe ซึ่งมีขนาดถึง 19 เมกะไบต์ออก เพราะเป็นไฟล์ที่ไม่ได้ใช้งานกันตามปกติเช่นเดียวกัน
8. ไล่ดูแต่ละโฟลเดอร์ทั้งใหญ่และย่อยถ้าทำได้ บางทีอาจจะเหลือขยะที่ทำให้เราจัดการได้บ้าง เช่น ไฟล์ตกค้างใน Eudora , ไฟล์ตกค้างจากการใช้ Offline Browser เช่น Teleport หรือไฟล์ที่เราอาจจะค้นพบได้เพิ่มเติมว่า มันไม่มีประโยชน์ และเปลืองพื้นที่ฮาร์ดดิสก์โดยไม่จำเป็น

                     ข้อมูลจาก : thaigaming.com

วันศุกร์ที่6สิงหาคม พ.ศ.2553

ทำความสะอาด Windows กันซักนิด ด้วย Microsoft’s OneCare (Free)

คุณอาจจะเคยใช้โปรแกรมบางตัวมาช่วยแก้ไข หรือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์ของคุณ ถ้าย้อนไปในยุค 90 เราค้นพบโปรแกรมที่ชื่อว่า Norton Utilities ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพคอมพิวเตอร์ของเราได้มากในเวลานั้น หลังจากนั้นต่อมาก็มีโปรแกรมอื่นๆ อีกมากมายที่ผลิตออกมาสู่ตลาด และทางด้าน Microsoft เองก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาร่วมวงในตลาดนี้
แต่ในขณะนี้ดูเหมือน่วา Microsoft จะตัดสินใจที่จะเข้าสู่ตลาดนี้ แถมให้บริการแบบฟรีเสียด้วย นั่นคือเจ้าตัว service ที่เรียกว่า OneCare นั่นเอง คุณสามารถไปดูรายละเอียดได้ที่ http://safety.live.com
OneCare เป็นบริการฟรีจากทาง Microsoft ที่คุณสามารถขอใช้บริการได้ถ้าคุณใช้ XP หรือ Vista ที่เป็นของแท้…ย้ำว่าของแท้เท่านั้น…ซึ่งการทำงานของ OneCare รวม ๆ แล้วคือการไปทำความสะอาดเครื่องของคุณ มันไม่ใช่แค่มองหา และลบพวก spyware และ virus เท่านั้น แต่มันจะทำการตรวจสอบ registry mis-configuration, error ต่าง ๆ, และปัญหาของระบบต่าง ๆ เช่น fragmentation เป็นต้น
OneCare ยังช่วยตรวจสอบระบบ firewall และ antivirus บนเครื่องของคุณด้วย หากคุณไม่แน่ใจกับประสิทธิภาพของ OneCare ก็ไม่ต้องกลัว เพราะโปรแกรมตัวนี้มีระบบ un-doable หรือยกเลิกสิ่งที่ทำไปแล้วได้ ไม่ว่าคุณจะให้มันทำอะไรสุดท้ายแล้วถ้าคุณไม่พอใช้ก็แค่ un-do มันก็เท่านั้น ซึ่งการ un-do นี้จะต้องทำผ่าน restore point ดังนั้นคุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ทำ restore point ไว้ก่อนที่จะเริ่มใช้ OneCare
การใช้งาน OneCare นั้นคุณจะต้องใช้ผ่าน Internet Explorer เท่านั้น



เมื่ออยู่ที่หน้าจอดังภาพข้างบนให้คุณคลิ๊กที่ปุ่ม Full Service Scan เพื่อเริ่มการทำงาน หรือคุณอาจอยากจะลอง version beta ซึ่งเป็น version ทดลองก็สามารถทำได้ เพียงคลิ๊กที่ link สีฟ้าที่เขียนว่า “beta edition” เท่านั้น

เมื่อคลิ๊กปุ่ม Full Service Scan มันจะเริ่ม download ตัว tool ที่ใช้ในการ scan เครื่องของคุณทันที โดยจะมี pop-up window ขึ้นมาถามความสมัครใจในการ download


เมื่อทำการ download เสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณจะพบกับหน้าจอดังรูปข้างล่างนี้
ให้คุณเลือกระหว่าง Complete Scan กับ Quick Scan

หากคุณเลือก Complete Scan - ระบบจะใช้เวลาในการทำงานนานกว่า แต่จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งแก้ไขสิ่งต่าง ๆ บนระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ อย่างไรก็ตามก็จะทำการ Complate Scan ให้คุณแน่ใจก่อนว่า internet ของคุณนั้นมี security ที่ดี หากคุณมีข้อสงสัยประการใดก็สามารถคลิ๊กที่ link สีฟ้าในรูปที่เขียนว่า “Help Me Choose”
หลังจากที่คุณเลือกรูปแบบในการ scan แล้วโปรแกรมจะทำการ download ตัว scanning tool เข้ามา

จากนั้นโปรแกรมจะเริ่มตั้งค่าเริ่มต้น(initializing) เพื่อทำการ scan เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ




เมื่อโปรแกรมเริ่มทำการ scan เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ คุณจะต้องให้เวลากับมันซักหน่อย เพราะการ scan เครื่องของคุณโดยละเอียดหรือ Complete Scan นั้นอาจจะต้องใช้เวลาตั้งแต่ 5 ชั่วโมงขึ้นไป อย่างไรก็ตามในบางครั้งก็อาจจะใช้แค่ 20 นาทีได้เหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าระบบต่าง ๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณมันรกรุงรังแค่ไหน



เมื่อ OneCare เสร็จสิ้นการทำงานโปรแกรมจะรายงานผลให้คุณทราบ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล virus ต่าง ๆ ที่พบ และข้อมูลการกำจัด virus เหล่านั้น




ลองไปใช้กันดูนะครับ สำหรับ OneCare ผมคิดว่ามันทำงานได้ดีเป็นที่น่าพอใจมาก


                          บทความจาก 2beshop.com

วันพฤหัสบดีที่5สิงหาคม พ.ศ.2553

โหลดเพลงเป็นล้านฟรี - ผ่าน Muziic

หลังจากที่เราเคยมีประสบการณ์กับ Kazaa, LimeWire, และ Napter ซึ่งใช้การ download เพลงแบบ peer-to-peer ตัวใหม่ที่จะพูดถึงในวันนี้คือ Muziic ซึ่งเป็น desktop application ที่ใช้งานได้กับ Windows XP, 2003 และ Vista โดยโปรแกรมนี้จะทำให้คุณสามารถเข้าถึงเพลงได้เป็นล้าน ๆ เพลงเลยทีเดียว





Muziic ทำงานยังไง?
ด้วย Muziic คุณสามารถฟังเพลงฟรีแบบออนไลน์ และมีเพลงให้เลือกฟังเป็นล้าน ๆ เพลง ซึ่งคุณจะไม่มีปัญหาใด ๆ เหมือนอย่าง Napster
เพราะ Muziic นั้นเป็นการใช้งานที่ถูกกฏหมาย 100% คุณสามารถใช้โปรแกรมตัวนี้เพื่อค้นหาเพลงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงประเภทใด เก่าแค่ไหน




ในตอนแรกที่เริ่มใช้โปรแกรมนี้ใหม่ ๆ หน้าตาและการใช้งานโปรแกรมอาจจะยังไม่คุ้นเคยสำหรับคุณ แต่เมื่อคุณใช้ไปซักพัก คุณจะรู้สึกว่าโปรแกรมนี้สามารถใช้ค้นหา และฟังเพลงต่าง ๆ ได้สะดวกจริง ๆ

สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือดาวน์โหลด Muziic โดยคลิ๊กที่นี่ จากนั้นให้ทำการ Install โปรแกรม แล้วเปิดโปรแกรมขึ้นมาเพื่อใช้งาน
เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา คุณจะเห็น Muziic player window ซึ่งเป็นขึ้นมาเพื่อให้คุณได้ scroll up และ down เพื่อเลือกแนวเพลงที่คุณต้องการ คุณสามารถเปิด genre หรือแนวเพลง และทำการดูรายชื่อเพลงต่าง ๆ ที่มีสมาชิกคนอื่น upload เข้าไปที่ Muziic ได้โดยการคลิ๊กที่ชื่อของเพลงนั่นเอง

เมื่อคุณเลื่อกแนวเพลง และเจอเพลงที่คุณต้องการจะฟัง คุณก็เพียงแค่คลิ๊กที่สัญลักษณ์ข้าง ๆ เพลงนั้น คุณก็สามารถเพิ่มเพลงนั้นเข้าสู่ play list ได้ทันที




เมื่อเลื่อกเพลงให้ไปอยู่ใน play list แล้วคุณก็สามารถ double click ที่เพลงเพื่อเริ่ม load และเล่นเพลงที่ต้องการได้ทันที




ตัวเดียวก็เกินพอ

Muziic มีตัว player ในการเล่นเพลงที่ให้คุณภาพเสียงได้ดีเยี่ยม คุณสามารถตั้งค่าให้เหมาะสมกับความเร็ว internet ของคุณโดยการคลิ๊กที่ setting tab และเลือกคุณภาพของเสียงระหว่าง Standard และ HQ Stereo (แบบ HQ หรือ High Quality นั้นคุณจะต้องมี internet ความเร็วสูง)
นอกจากคุณภาพเสียงที่สามารถปรับให้ตรงกับความไว internet ของคุณแล้ว คุณสามารถเลือกฟังเพลงได้เป็นล้าน ๆ เพลงเลยทีเดียว นับว่าเป็นโปรแกรมที่น่าโหลดไปลองใช้ดูอย่างยิ่งครับ

                              บทความโดย 2beshop.com

วันพุธที่4สิงหาคม พ.ศ.2553

7 วันระวังอันตรายโน๊ตบุ๊กใหม่ ข้อเท็จจริงที่ต้องรู้เพื่อรักษาสิทธิของเรา



ไม่ว่าท่านจะซื้อโน๊ตบุ๊กจากในงานคอมมาร์ทหรือนอกงาน ก็น่าอ่านไม่แพ้กัน หลายๆท่านอาจจะส่งสัยกันว่าประกัน 7 วันนีั้มันยังไงกันแน่ และมีวิธีอย่างไรให้สังเกตุว่าน่าจะส่งเคลมใน 7 วัน NBS เลยมาช่วยแถลงไขให้ฟัง



ประกัน 7 วันมีไว้เพื่อ

ก่อนอื่นต้องพูดถึงประกัน 7 วันก่อนนะครับว่าเป็น การรับประกันว่าเครื่องที่ซื้อไปจากร้านนั้นๆไม่มีปั ญหา เป็นเครื่องใหม่จริงเพื่อใหเผู้ซื้อสบายใจและสามารถต ัดสินใจซื้อได้ทันที ซึ่งในความเป็นจริงประกัน 7 วันนี่ไม่ได้เป็นมาตรฐานแบบประกัน 1 ปีที่ทุกเครื่องต้องมี แต่เป็นเหมือนประกันที่แต่ละร้านกำหนดขึ้นมา ลองสังเกตุในใบเสร็จก็ได้ครับว่าถ้าร้านไหนรับประกัน เป็นมาตรฐาน 7 วันนั้นจะพิมพ์ในใบเสร็จเลยว่า สินค้ามีปัญหาสามารถเคลมได้ใน 7 วัน แต่ในอีกหลายๆร้านก็ใช่ว่าจะมีกำหนดไว้เพียงแต่แค่รั บปากเปล่าเท่านั้น เพราะฉะนั้นใช่ว่าแต่ละร้านที่รับประกัน 7 วัน จะเหมือนกันเสียหมด
มาตรฐานประกัน 7 วันที่แตกต่างกัน
ปรกติที่หลายๆร้านโม้ไว้คือถ้าเสียเปลื่ยนเครื่องใหม ่ในประกัน 7 วัน แต่ในความเป็นจริงนั่นหลายร้านก็ทำไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนเครื่องใหม่นั้นคือการเอาเครื่องที่ส ามารถขายได้มาเปลี่ยน ให้ แล้วต้องเอาเครื่องเก่าไปเคลมซึ่งจะทำให้ร้านเสียประ โยชน์เพราะต้องรอ เครื่องซ่อม (ไม่นับบางร้านที่ไม่ดีโดยการเอาเครื่องเคลมมาวนขาย)
ทำให้ร้านส่วนใหญ่ไม่อยากเคลมโดยการเปลี่ยนเครื่องให ม่ จึงแนะนำโดยการช่วยแก้ปัญหาหรือแนะนำให้ไปเคลมกับศูน ย์เพื่อผลักภาระส่วนนี้ ไป แต่ในความเป็นจริงภาระการรับประกัน 7 วันเป็นของร้านที่รับเครื่องมาขาย ซึ่งในกรณีร้านเปลี่ยนเครื่องใหม่ เครื่องที่เคลมกับมาผู้ผลิตก็จะรับผิดชอบโดยการเปลี่ ยนเครื่องใหม่อยู่แล้ว เพราะถือว่าผิดพลาดจากการผลิต แต่ร้านจะเสียเวลาในการเคลมสินค้าทำให้ไม่ค่อยอยากใช ้วิธีนี้นัก
แต่อีกหลายร้านก็ดีนะครับโดยบอกกันตรงๆ หรือดีสุดก็คือเคลมให้ใหม่เลย ซึ่งเป็นหน้าที่ของลูกค้าอย่างเราที่ต้องรักษาสิทธิใ นการยืนยันให้ร้านแก้ไข ปัญหาให้สามารถใช้งานได้ หรือจะต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้เลยในกรณีเครื่องมีป ัญหาหนักมากเพราะเรา ซื้อมาใช้งานนะครับไม่ได้เอามาตั้งโชว์จึงต้องรักษาสิทธิให้เต็มที่
**ไม่นับกรณีที่ลูกค้าเป็นผู้ทำ เสียหายเองนะครับเช่นเครื่องตก หรือกระแทก เพราะถือว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากผู้ใช้เองไม่ใช่ปัญหา จากการผลิต
Dead pixel VS ประกัน 7 วัน
บอกก่อนนะครับสำหรับหลายๆท่านที่คิดว่าการทดสอบ Dead pixel ไม่สำคัญ เพราะนึกว่าอยู่ในประกัน 7 วัน แต่เอาเข้าจริงๆแล้วเาไม่นับประกัน 7 วันนะครับ (ยกเว้นบ้างร้านที่รับประกันพิเศษส่วนนี้ให้ หรือลดราคาเครื่องที่มี Dead pixel โดยจะบอกผู้ซื้อก่อนแล้ว) ในหนึ่งร้านเวลารับเครื่องมาบางที่เป็นร้อยๆเครื่องท ำให้ไม่สามารถทดสอบส่วน นี้ได้ จึงเป็นหน้าที่เราต้องมานั่งทดสอบ Dead pixel เอง โดยในแทบทุกร้านจะมีโปรแกรมสำหรับทดสอบ Dead pixel ให้ (แต่บ้างร้านก็ต้องทวงจึงจะให้) เพื่อให้ลูกค้าทดสอบด้วยตัวเอง เพื่อยืนยันจะได้ไม่มาโวยวายทีหลัง ซึ่งถ้าลูกค้าดูไม่ถี่ถ้วนแล้วมาขอใช้สิทธิประกัน 7 วัน ร้านส่วนใหญ่ก็จะไม่รับครับ เพราะถือว่าผู้ซื้อเป็นคนทดสอบด้วยตัวเองแล้ว

บางอาการก็ไม่ได้เสียนะครับ

อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดกับหลายๆเครื่องโดยเฉพาะเครื ่องที่นำกลับมาลง วินโดวส์เอง เช่นกรณีพอร์ตต่างๆไม่สามารถใช้งานได้ อาจจะเกิดจากปิดพอร์ตไว้หรือไดร์ฟเวอร์ไม่ได้ลง อาจจะรวมไปถึงปัญหาเล็กๆน้อยเช่นไดร์ฟเวอร์ต่างๆอันน ี้ต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่าเครื่องไม่ได้เสียจะไปหาเรื่องกับทางร้านก็ไม่ถูก นัก แต่ถ้าเจอปัญหาแบบนี้จริงก็สามารถยกไปให้ร้านที่ซื้อ เขาดูให้ได้ครับทางร้าน จะได้ชี้แจงให้เข้าใจด้วย
ใบเสร็จสำคัญมิใช่น้อย
เพราะจะมีข้อมูลทั้งหมดในการซื้อเครื่องสักเครื่องหน ึ่งทั้ง ชื่อร้านที่ตั้ง (ในกรณีซื้อในงานสำคัญมากครับเพราะจะได้ตามไปเคลมได้ ถูกที่) ข้อมูลของโน๊ตบุ๊กที่ซื้อไม่ว่าจะเป็นรุ่น สเปก ราคา และที่สำคัญคือซีเรียลเครื่องซึ่งแต่ละร้านจะมีเก็บไ ว้สำหรับอ้างอิง รวมถึงข้อแม้ของประกัน 7 วัน ซึ่งถ้ามีใบเสร็จเวลาไปเคลมก็จะเป็นหลักฐานในการอ้าง อิงว่าซื้อกับร้านนี้ จริง ถ้าหากไม่มีใบเสร็จบางร้านก็อาจจะขอไม่รับประกัน 7 วันได้ครับ แต่บ้างร้านที่ดีหน่อยก็จะเคลมให้แต่อาจจะเสียเวลาใน การยืนยันว่าซื้อ เครื่องจากร้านนี้จริงนานหน่อย
แล้วเมื่อไรละถึงจะเอาไปเคลม
เมื่อเครื่องมีปัญหาไม่ว่าจะเล็กๆน้อย หรือกระทั่งปัญหาใหญ่จนเปิดเครื่องไม่ติด ซึ่งไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กมันก็คือปัญหาที่ไม่ควรเกิด กับเครื่องใหม่ใช่ไหมละ ครับ( แต่บางอาการอาจจะไม่ได้เสียเพียงแต่ยังไม่ได้เปิดหรื อยังไม่ได้ลงไดร์วเวอร์ ครับ) ผมขอยกตัวอย่างที่เกิดปัญหาบ่อยๆแล้วกันครับเช่น
พอร์ตต่างๆไม่สามารถใช้งานได้
จอภาพเป็นเส้น
อุปกรณ์ภายในเช่นฮาร์ดดิสค์แรมมีปัญหา
เครื่องบูตไม่ขึ้น (แบบไม่เห็นจอใบออสเลย)
ปุ่มต่างๆกดไม่ติด
ลำโพงไม่มีเสียงออก
ชาร์ตไฟไม่เข้า (จากแบตเตอรี่หรือ Adapter)
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาทางกายภาพที่สามารถสังเกตุได้แ ต่ก็ย้ำนะครับว่า บางปัญหาอาจจะไม่ได้เกิดจากอุปกรณ์จริงๆ อาจจะเป็นเพียงปัญหาของไดร์ฟเวอร์เท่านั้น แต่ถ้าไม่มั่นใจก็ยกเครื่องไปให้ร้านที่ซื้อดูได้ครับ
เอาอะไรไปเคลมประกัน 7 วันบ้างละ
อันที่จริงใช้แค่เครื่องกับใบเสร็จก็พอ แต่ถ้ากรณีเปลี่ยนเครื่องใหม่บางร้านอาจจะจำเป็นต้อง ใช้กล่องที่มีซีเรีย ลตรงกับเครื่องด้วยเพราะฉะนั้นอุปกรณ์ต่างๆที่ครรจะเ ก็บไว้ถึงจะไม่ได้ใช้ กับประกัน 7 วันก็ตามอันได้แก่
กล่องที่มีรหัสซีเรียลเครื่อง
ใบเสร็จ
ใบประกันที่ซื้อเพิ่ม
อุปกรณ์ข้างเคียงเช่น Adapter,แบตเตอรี่
ก่อนจากกัน อยาให้ผู้ที่ถอยโน๊ตบุค ให้ทดลองใช้เครื่องให้เต็มประสิทธิภาพ ตั้งแต่เปิดเครื่องโดยใช้ไฟจากแบตให้หมด แล้วลองชาร์ตไฟดูว่าแบตใช้งานได้ตามสเปกที่บอกมาหรือ ไม่ และใช้งานให้ครบทุกอย่างตามวัตถุประสงค์ของเรา ตั้งแต่ ดูหนัง(จอภาพเป็นเส้นไหม) ฟังเพลง(ลำโพงแตกไหม ปรับเสียงได้ดังแค่ไหน) เล่นเกม และ้งานอื่นๆ
สุดท้ายขอให้ท่านสมาชิกได้เครื่องที่ดี ถูกใจ ใช้งานได้เป็นอย่างดีกันทุกท่านครับ ท่านสมาชิกท่านใดมีข้อสงสัย สามารถสอบถามได้ที่ เวปบอร์ดของเราได้ตลอด และอย่าลืมติดตาม ผลงานของเราต่อไป รับรองได้ว่า มีประโยช์นกับสมาชิก ไม่ว่าเป็น Driver ออกใหม่ หรือว่า ซอฟแวร์ที่ช่วยเร่งประสิทธิภาพในการทำงานหรือการ รักษาเครื่องให้อยู่กับเราไปนานๆ โชคดีทุกท่านครับ
                
                   ข้อมูลจาก : www.thaigaming.com

วันอังคารที่3สิงหาคม พ.ศ.2553

ความแตกต่างระหว่าง Autorun และ Autoplay



ที่ผ่านมานั้นหลายๆคน(รวมถึงผมด้วย)มักจะใช้คำทั้ง 2 คำนี้โดยคิดว่ามันมีความหมายเดียวกัน จนเมื่อลองศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจังจึงได้เข้าใจว่าค ำทั้ง 2 คำนั้นมีความหมายต่างกันครับ ผมเห็นว่าน่าสนใจดีเลยเอามาเล่าสู่กันฟังเพื่อจะได้ท ำความเข้าใจกันใหม่ และแก้ไขปัญหาไวรัสที่เกิดจากไฟล์ Autorun.inf ได้ถูกต้องตรงจุดครับ




รู้จักกับ Autorun

สำหรับคำว่า Autorun นั้นเป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว(เริ่มตั้งแต่ Windows 95 เป็นต้นมา) คู่กับเจ้าไฟล์ Autorun.inf นั่นล่ะครับซึ่งทุกคนก็คงเข้าใจแล้วว่ามันคือการทำงา นตามคำสั่งที่มีการระบุ ไว้ในไฟล์ Autorun.inf ตามที่ผมได้อธิบายไปแล้วในเล่มแรก

เช่นการทำงานของ Autorun ในแผ่นติดตั้ง Windows เมื่อเรานำแผ่นใส่ในเครื่องจะเห็นว่ามันจะทำการเปิดโ ปรแกรมเมนูในการติดตั้ง Windows มาให้ทันที




เราลองมาดูคำสั่งภายในไฟล์ Autorun.inf ซึ่งอยู่ในแผ่นติดตั้ง Windows กันก่อนนะครับแล้วเดี๋ยวผมจะอธิบายเพิ่มเติมอีกที

จะเห็นได้ว่าภายในไฟล์ Autorun.inf นั้นมีส่วนของคำสั่งเพียง 2 บรรทัดคือ Open= ซึ่งจะเป็นส่วนที่ระบุชื่อของโปรแกรมที่ต้องการให้เป ิดขึ้นมาแบบอัตโนมัติเมื่อนำแผ่นใส่เข้าไปในไดรฟ์ รวมไปถึงการดับเบิ้ลคลิกที่ไดรฟ์นั้นๆใน My Computer ด้วย
และบรรทัด icon= ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ระบุรูปไอคอนที่จะแสดงให้เห็นนั่น เองครับ
ดังนั้นผมขอสรุปในขั้นต้นก่อนนะครับว่า Autorun นั้นหลักการทำงานของมันก็คือการอ่านแล้วทำตามคำสั่งท ี่มีการระบุไว้ในไฟล์ Autorun.inf ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นส่วนแสดงชื่อไดรฟ์(Label) รูปไอคอนที่แสดงแทนไดรฟ์รวมถึงโปรแกรมที่จะทำการเปิด ขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
รู้จักกับ Autoplay
คำว่า Autoplay นั้นเป็นคำใหม่(มาทีหลัง Autorun) ที่เพิ่งมีมาพร้อมกับ Windows ตั้งแต่ XP ขึ้นไป เรามาดูรูปตัวอย่างการทำงานของ Autoplay กันก่อนนะครับแล้วผมจะอธิบายต่อว่ามันคืออะไร



สำหรับรูปที่เห็นนั้นเป็นการทำงานของ Autoplay ครับ ทุกคนคงคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว นั่นคือเมื่อเราเสียบแฟลชไดรฟ์เข้ากับเครื่องคอมพิวเ ตอร์ก็จะมีหน้าต่างลักษณะนี้ขึ้นมาเสมอๆ(ถ้าไม่ได้ปิ ด Autoplay ไว้) โดยจากรูปตัวอย่างที่ผ่านมานั้นในแฟลชไดรฟ์ของผมจะมี เพียงไฟล์รูปภาพอยู่ด้านใน
คราวนี้ผมจะลองก๊อบปี้ไฟล์เพลง .mp3 ใส่เพิ่มเข้าไปในแฟลชไดรฟ์ หลังจากนั้นดึงออกแล้วเสียบกลับเข้าไปใหม่มาดูผลกันค รับ


จะเห็นได้ว่ามีหน้าต่างคล้ายๆแบบเดิมแต่ด้านบนสุดจะม ีรูปไอคอนของโปรแกรม Windows Media Player ซึ่งมีคำว่า Play เพิ่มขึ้นมา นี่ล่ะครับการทำงานของ Autoplay นั่นคือมันจะทำการตรวจสอบไฟล์ทั้งหมดของเราในแฟลชไดร ฟ์ว่ามีไฟล์ประเภทไหน บ้างแล้วทำการเปิดโปรแกรมที่มีความเกี่ยวข้องกับประเ ภทไฟล์ประเภทนั้นๆขึ้นมาให้





เช่นในตัวอย่างแรกแฟลชไดรฟ์ของผมมีเพียงไฟล์รูปภาพ มันจึงขึ้นเมนูในการจัดการรูปภาพเช่น Print the picture , View a slideshow.. ส่วนในตัวอย่างที่ 2 นั้น เนื่องจากผมได้ก๊อบปี้ไฟล์เพลงใส่เพิ่มเข้าไปด้วย





เมื่อมันตรวจพบว่ามีไฟล์เพลงอยู่จึงแสดงเมนูที่จะใช้ จัดการกับไฟล์เพลงซึ่ง ก็คือการเปิดด้วยโปรแกรม Windows Media Player นั่นเอง ซึ่งถ้าผมเลือก Play มันก็จะทำการเปิดเพลงจากในแฟลชไดรฟ์ขึ้นมาให้ หรือถ้าผมเลือกไปที่ View a slideshow.. มันก็จะทำการเปิดไฟล์รูปภาพจากในแฟลชไดรฟ์ขึ้นมาให้น ั่นเองครับ คงพอจะมองเห็นภาพการทำงานของ Autoplay กันแล้วนะครับ

ซึ่งเราสามารถที่จะตั้งค่าการทำงานแบบอัตโนมัติของ Autoplay ได้ว่าในกรณีที่พบไฟล์ประเภทไหนจะให้มันตอบสนองอย่าง ไรโดยการคลิกขวาที่ ไดรฟ์ที่ต้องการตั้งค่าเช่นผมต้องการตั้งค่าแฟลชไดรฟ ์ซึ่งตอนนี้เป็นไดรฟ์ H ผมก็คลิกขวาที่ไดรฟ์ H เลือก Properties แล้วไปที่ Tab Autoplay

จะเห็นว่าเราสามารถที่จะเลือกประเภทของไฟล์และรูปแบบ การตอบสนองต่อไฟล์ประเภทนั้นๆเมื่อมีการเสียบแฟลชไดร ฟ์ด้วยฟังก์ชั่น Autoplay ซึ่งผมขอไม่อธิบายรายละเอียดนะครับ ลองเล่นกันดูคิดว่าน่าจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากครับ
สรุปความแตกต่างระหว่าง Autorun และ Autoplay
Autorun นั้นเป็นฟังก์ชั่นที่มีมากับ Windows ตั้งแต่ 95 เป็นต้นมาซึ่งการทำงานของ Autorun นั้นจำเป็นจะต้องใช้ไฟล์ Autorun.inf ในการกำหนดการทำงานเสมอ เนื่องจากจะต้องมีการระบุคำสั่งต่างๆไว้ในนั้น
ส่วน Autoplay นั้นเป็นฟังก์ชั่นใหม่ที่เพิ่งมีใช้ครั้งแรกใน Windows XP เป็นต้นไป และในการทำงานนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ไฟล์ Autorun.inf แต่อย่างใด เนื่องจากเป็นการอ่านไฟล์จากใน Removable Media(CD/DVD แฟลชไดรฟ์ Card-Reader ฯ) แล้วทำการเปิดโปรแกรมที่ใช้ในการจัดการกับไฟล์ประเภท นั้นๆขึ้นมาให้
โดยสรุปก็คือ Autorun นั้นจะเป็นการสั่งให้เปิดโปรแกรมที่มีอยู่ในแฟลชไดรฟ ์ขึ้นมา(จากคำสั่งในไฟล์ Autorun.inf) แต่สำหรับ Autoplay นั้นจะเป็นการเปิดโปรแกรมจากภายนอกเพื่อที่จะใช้จัดก ารกับไฟล์ที่อยู่ภายในแฟลชไดรฟ์นั่นเองครับ หรือพูดง่ายๆว่า Autorun นั้นจะมองที่ฝั่งโปรแกรม ส่วน Autoplay นั้นจะมองที่ฝั่งของไฟล์นั่นเองครับ

วันจันทร์ที่2สิงหาคม พ.ศ.2553

วิธีเช็คว่า คอมของคุณถูกเปิดใช้ตอนกี่โมงบ้าง


หลายๆคนที่อยู่หอกับเพื่อน คงมีความรู้สึกอยู่ ว่าใครเเอบมาเล่น msn เรารึป่าวหรือ มานั้งทำไรเครื่องเรารึป่าวผมจะมาสอนวิธี เช็คกันว่ามีคนเเอบเล่นเครื่องเรารึป่าว
เป็นเคล็ดลับที่มีมานานแล้วหละ ผมเพิ่งรู้เห็นในเวปเลยมาโพสบอกกัน ใครรู้แล้วก็ขออภัยครับ
คุณ สามารถที่จะเช็คได้โดยง่ายเลยครับ ว่า COMPUTER ของคุณได้ถูกเปิดตอนกี่โมงบ้าง(มีคนมาเปิดเครื่องคุณ ตอนที่ไม่อยู่อะเปล่า) โดยมีวิธีง่ายๆดังนี้ครับ
1. คลิ๊ก MOUSE ขวาที่ ICON MY COMPUTER แล้วเลือก Manage ครับ
2. จะมีหน้าต่างแบบด้านล่างขึ้นมา
3. แล้วใช้ MOUSE เลือกไปที่ Event Viewer ---> Systemแล้วจะมีข้อมูลเวลาที่เปิด COMPUTER ขึ้นมา


                         ข้อมูลจาก : www.thaigaming.com

วันอาทิตย์ที่1สิงหาคม พ.ศ.2553

การเลือกซื้อ GPS ติดรถ ให้เหมาะกับการใช้งาน


ขนาดหน้าจอ : ปัจจุบันขนาดหน้าขอ 3.5นิ้วเริ่มไม่ค่อยเป็นที่นิยม เนื่องจากขนาดที่ค่อนข้างเล็ก และราคาที่แทบไม่ต่างกับขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า จึงแนะนำให้เลือกซื้อขนาดหน้าจอ 4.3 หรือ 5.0นิ้ว แต่ขนาด 7.0นิ้ว อาจจะใหญ่เกินไป น่าจะเหมาะกับรถตู้ รถกระบะคันใหญ่ๆ หรือเหมาะจะติดเข้าไปใน Console หน้ารถมากกว่า
- CUP : ความเร็วของ CPU ที่นำมาใช้ใน GPS Navigator (GPS ติดรถ) ส่วนใหญ่จะมีความเร็วที่ 300, 400, 500 และล่าสุดที่ 600MHz ความเร็ว 300MHz มีผลิตกันน้อยมากๆแล้ว ปัจจุบันนี้จะผลิตที่ 400MHz และ PND รุ่นใหม่ๆจะผลิตออกมาที่ 500MHz เพราะแผนที่นำทางในปัจจุบันส่วนใหญ่ จะมีการเล่นภาพ 3D ด้วย ดังนั้นความเร็ว CPU จึงต้องสูงขึ้น และล่าสุดจะมี CPU ที่ความเร็ว 600MHz ออกมาแต่ราคาค่อนข้างสูง และแผนที่นำทางต่างๆ ยังไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วสูงขนาดนั้น จึงยังไม่ค่อยนำมาใช้ใน GPS ติดรถ อย่างแพร่หลายนัก (กันยายน 2552) ดังนั้นการเลือกซื้อจึงแนะนำให้ดู CUP ที่มีความเร็วอย่างน้อย 400MHz ขึ้นไป
- Module : จะเป็น Chipset เมื่อใช้รับข้อมูลจากดาวเทียม GPS เมื่อมาประมวลผลหาค่าพิกัดที่เราอยู่ ผู้ผลิต Chipset Module สำหรับรับสัญญาณ GPS มีหลากหลายบริษัท สำหรับ Chipset GPS จาก SiRF จะแบ่งเป็น 3 รุ่นหลักๆในปัจจุบันคือ
1. SiRFatlasIII มีความเร็ว 400MHz ใช้ Module SiRF 3 จับสัญญาณดาวเทียมได้ 30 ดวง ตัวนี้ปัจจุบันผู้ผลิตเริ่มเปลี่ยนเป็นตัวที่เร็วกว่าอย่าง SiRFatlasIV แล้ว
2. SiRFatalsIV มีความเร็ว 500MHz ใช้ Module SiRF GRF3i+ จับสัญญาณดาวเทียมได้ 64 ดวง แนะนำให้เลือกซื้อความเร็วขนาด 500MHz เป็นอย่างน้อย เพื่อให้เล่นแผนที่ได้ไม่สะดุด
3. SiRFtitan มีความเร็ว 600MHz ใช้ Module SiRF GRF3i+ จับสัญญาณดาวเทียมได้ 64 ดวง ตัวนี้จะใช้ Module เดียวกับรุ่นก่อนหน้า แต่ความเร็วจะเพิ่มขึ้น ผู้หลิตยังไม่ค่อยนำมาใช้แพร่หลายนัก
สำหรับท่านที่ซื้อ GPS ติดรถที่ไม่ได้ใช้ Chipset ของ SiRF แนะนำให้ดูความเร็วของ CPU และความสามารถของ Module ว่าจับสัญญาณดาวเทียมได้กี่ดวง
- RAM : เนื่องจาก GPS Navigator (GPS ติดรถ) จะใช้ Program พร้อมๆกันอย่างมาก 1-2 ตัวเท่านั้น ดังนั้นขนาดของ RAM อาจจะไม่ค่อยสำคัญนัก ส่วนมากจะใส่มาให้ 64-128MB ถือว่าเพียงพอแต่แนะนำให้เป็น DDR Ram เพราะ SD RAM จะส่งข้อมูลได้ช้ากว่า DDR Ram
- Functions เสริม : Programs เสริมหลักที่ติดมาให้กับ GPS Navigator ที่ใช้ OS เป็น WindowsCE นั้น ส่วนใหญ่จะใช้ดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นเกมส์ หรือ เปิดfile เอกสาร ซึ่งอาจไม่ค่อยได้นำมาใช้จริงเท่าไร ส่วนFunction เสริม FM Transmitter จะมีติดมากับ GPS Navigator บางรุ่น และจะมี bluetooth ที่มีไว้เชื่อมต่อกับมือถือเพื่อไว้รับโทรศัพท์ขณะขับรถ ราคาเครื่องที่มี Bluetooth จะแพงขึ้น 400-500บาทจากรุ่นปกติ ให้พิจารณาความต้องการของเรากับ Functions เสริมเหล่านี้ ว่านอกจากการนำทางแล้ว เราต้องการอะไรเสริมจากนั้นอีกหรือไม่

                บทความ GPS โดย AirCardShop.com/GPS